การหายตัวไปของ เจอรัลดีน ลาเก้

“ หากว่าคุณได้พบร่างของฉัน กรุณาแจ้งจอร์จ สามีของฉัน และ เคอรี่ ลูกสาวขอฉันด้วย มันจะเป็นความกรุณาอย่างล้นเหลือต่อพวกเขาที่จะได้รู้ว่า ฉันได้เสียชีวิตแล้ว ณ ที่นี่ ที่คุณพบฉัน … และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกกี่ปีนับจากนี้ ขอความกรุณาส่งสิ่งของในถุงนี้ให้กับพวกเขาด้วย “

 ข้อความนี้ถูกเขียนลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่ถูกพับเก็บไว้อย่างดีในถุงซิปล็อคกันน้ำ คู่กับสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาในเรื่องที่ผมจะนำมาเล่าให้ฟังในคราวนี้ก็หยิบมาจากสมุดบันทึกเล่มนี้ และรายงานการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ครับ

เจอรัลดีน เกอรี่ ลาเก้ คุณยาย วัย 66 ปี อดีตพยาบาลปลดเกษียณ ผู้อุทิศตัวให้ครอบครัว และโบสถ์ ในเมือง Brentwood, Tennessee เธอมีความชื่นชอบในกิจกรรมกลางแจ้ง ในยามว่างเธอก็มักจะเข้าป่า พร้อมกับหนังสือดูนก และดอกไม้ป่า และด้วยความชื่นชอบทางด้านนี้ ทำให้การเดินป่าเส้นทางระยะไกล 2100 ไมล์อย่าง Appalachian trail ก็กลายเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของเธอ

ภาพของเกอรี่คู่กับหลายชาย ซึ่งทันทีที่เริ่มเดินได้ เธอก็พอเขาเข้าไปเดินไฮกิ้ง

ในเดือน พฤศจิกายน 2012 เธอเริ่มจัดหาอุปกรณ์ เริ่มฝึกซ้อมเดินระยะไกล โดยได้ จอร์จ สามีคู่ชีวิตของเธอกว่า 40 ปี มาคอยให้การสนับสนุน โดยการไปส่งเสบียงอาหาร และไปรอพบตามจุดต่างๆ ตามเส้นทางเดิน เกอรี่ มักจะชอบเขียนบันทึกการเดินทางของเธอแล้วก็มักจะส่งให้เพื่อนๆและครอบครัวอ่านด้วย

ในเดือนเมษายน 2013 เธอกับเพื่อนเดินเทรลที่รู้จักกันมานาน เจน ลี ก็เริ่มออกเดิน และโดยธรรมเนียมการเดิน Thru-hike จะต้องมีชื่อเล่นที่ใช้เรียกกันบทเส้นทางเดิน เกอรี่ก็เลือกชื่อ Inchworm มาใช้ โดยแผนการเดินของเธอคือวิธีที่เรียกว่า Flip Flop Hike ซึ่งความหมายก็คือ เป็นลักษณะการเดินที่ไม่ได้เริ่มเดินตั้งแต่ใต้สุดไปเหนือสุด หรือเหนือสุดไปใต้สุดจนจบทางในรวดเดียวครับ แต่จะเป็นการเริ่มเดินจากบริเวณช่วงกลางของเส้นทาง โดยแผนของเธอคือ เข้าตรงกลาง แล้วขึ้นไปเหนือสุด ของเทรลที่ Mount Katahdin ในเมือง Maine แล้วก็นั่งรถกลับลงมาตรงกลางอีก แล้วเดินไปใต้สุดที่ Springer Mountain ใน Georgia

โดยในการเดินนี้จอร์จสามีของเธอ ก็ยังคงมาคอยสนับสนุนเธอ โดยเขาจะมาคอยดักรอเจอเกอรี่ตามจุดต่างๆ เป็นระยะๆ เพื่อส่งเสบียงอาหาร และให้แน่ใจว่าการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น

ภาพของเกอรี่ คู่กับจอร์จ สามีของเธอ

ช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2013 ด้วยเหตุทางบ้านทำให้เจนเพื่อนร่วมเดินของ เกอรี่ ต้องถอนตัวจากการเดินทาง ส่วนตัวเกอรี่ยังคงเดินทางต่อไป โดยมีเป้าหมายที่จะไปจนจบเส้นทางให้ได้ ทางเดินในช่วงนี้เป็นเส้นทางเดินห่างไกล ทำให้จอร์จไม่สามารถจะมาดักพบกับเธอได้

กลางเดือนกรกฏาคม 2013 เกอรี่เดินมาได้ราว 900 ไมล์แล้ว เธอผ่านจุดที่ยากลำบากหลายจุดมาได้ และปลายทางที่ Katahdin ก็อยู่ห่างออกไปอีกแค่ 200 ไมล์ เท่านั้น โดยปกติเกอรี่จะพักตามเพิง หรือ กระท่อมที่มีตามรายทาง แต่เนื่องจากทางเดินในช่วงนี้เป็นป่าทึบ ระยะทางไกล ซึ่งเธอก็ได้พกเต็นท์ติดตัวมาด้วยเผื่อใช้ในยามจำเป็น

คืนวันอาทิตย์ ที่ 21 กรกฏาคม เกอรี่เข้าพักที่เพิง Poplar Ridge ที่นี่เธอได้พบกับ ด็อทตี้ รัท ที่ช่วยถ่ายรูปให้เธอพร้อมกับเสื้อผ้าฟรีซสีแดงตัวโปรด ด็อทตี้ยังหยอกเธอว่า มันเหมาะจะทำเป็นการ์ดวันคริสมาส … หลังจากที่แยกทางกับด็อทตี้ ในตอนเช้าวันนั้น เกอรี่มีนัดหมายพบกับจอร์จอีกทีในวันอังคาร โดยเช้าวันนั้นก่อนออกเดินทาง เกอรี่ส่งข้อความทางโทรศัพท์ให้กับจอร์จ โดยแจ้งว่าว่าเธอกำลังจะออกจากที่พักแล้ว หลังจากนั้นเธอก็ปิดโทรศัทพ์เก็บใส่เป้ แล้วออกเดินทางต่อ

ไม่มีใครรู้เลยว่า นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนพบเห็นเธอ … ในสภาพที่ยังมีชีวิตอยู่

ท่านผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามบทความร้านเรามา คงจะทราบดีว่าหลักการหนึ่งที่ผมมักจะกล่าวถึง และเน้นย้ำยิ่งกว่าการขายสินค้าในร้านคือ หลัก Leave No Trace ที่ว่าด้วยหลักปฏิบัติ 7 ประการในการเป็นนักเดินป่าที่ดี ซึ่งเป็นกติกาที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก … หลักใหญ่ใจความของหลักการนี้คือ การพยายามรักษาสภาพแวดล้อมให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ให้เสมือนกับไม่มีเคยมีใครเข้าไปมาก่อน  โดยที่ทาง Appalachian Trail Conservancy (ATC) ซึ่งเป็นผู้ดูแลเส้นทางเดินนี้ เค้าก็ให้คนที่มาเดินเทรลยึดหลักการนี้เช่นกันครับ โดยหลักในการขับถ่ายของเสียไม่ให้กระทบสภาพแวดล้อม เค้าจะให้นักเดินทางเลือก 2 ทางคือ ทางแรก ขุดหลุม โดยขุดให้ไกลจากทางเดินหรือแหล่งน้ำเป็นระยะ 200 ฟุต และกลบฝังให้ดี หรือ อีกทางคือ เอาของเสียพร้อมกระดาษชำระใส่ถุงพลาสติคซีลแล้วเก็บออกไปด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะเลือก การขุดหลุมแล้วกลบฝังเอา

หลัก LEAVE NO TRACE

หลักการ Leave No Trace 7 ประการ ประกอบด้วย

1) วางแผนและเตรียมตัวการเดินทางให้เหมาะสม (Plan Ahead and Prepare)

2) เดินและตั้งแค้มป์ตามพื้นที่ทนทานแข็งแรง (Travel and Camp on Durable Surfaces)

3) จัดการกับขยะและของเสียอย่างเหมาะสม (Dispose of Waste Properly)

4) ปล่อยสิ่งต่างๆตามธรรมชาติให้อยู่ในสภาพเดิม (Leave What You Find)

5) ใช้ไฟให้เหมาะสมและลดผลกระทบของไฟให้น้อยที่สุด (Minimize Campfire Impacts)

6) ไม่รบกวนสัตว์ป่าและสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ (Respect Wildlife)

7) มีความเห็นอกเห็นใจนักเดินทางคนอื่น (Be Considerate To Other Visitors)

ท่านใดต้องการอ่านหลักการนี้โดยละเอียด สามารถ อ่านได้ที่นี่ครับ  หลัก Leave No Trace

เกอรี่ก็เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ที่เลือกใช้วิธีการกลบฝัง ตอนที่เกอรี่เดินกับเจน ทั้งคู่จะผลัดกันไปทำธุระส่วนตัว โดยมีคนนึงดูต้นทาง และอีกคนจะไปหลบทำธุระที่หลังต้นไม้ซึ่งห่างออกไป แน่นอนว่าเราก็มักจะเลือกทำเลที่ห่างออกไปไกลหน่อยเพื่อไม่ให้มีใครมองเห็น เกอรี่ก็เป็นเช่นกันครับ

เช้าของวันที่ 22 กรกฏาคม เกอรี่ทำตามหลักการ Leave No Trace โดยเธอเดินออกห่างจากเส้นทางเดินอย่างน้อย 80 ก้าว เกอรี่เดินเข้าไปในพื้นที่ที่รัฐ Maine ครอบครองอยู่ พื้นที่นี้มีไม้ปกคลุมหนาทึบ … หลังจากเธอทำธุระเสร็จ เธอยืนขึ้นกลางพุ่มไม้ทึบ สะพายเป้ขึ้นหลัง เธอมองไปรอบตัว แล้วก็ก้าวไปในทางที่เธอเชื่อว่าเป็นทางเดินกลับไปที่ทางเดินหลัก… แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่

เวลา 11 โมงเช้า เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความหาจอร์จ มีใจความว่า “ตอนนี้ฉันมีปัญหา หลงออกมานอกทางเดิน ตอนนี้หลงทาง ช่วยติดต่อ AMC เพื่อดูว่าผู้ดูแลเส้นทางจะช่วยอะไรฉันได้ ฉันอยู่แถวทางเหนือของ Woods road. เธอกดส่งข้อความ แล้วรอ … ผลคือได้รับข้อความตอบกลับจากระบบว่า ข้อความไม่สามารถส่งได้ เธอลองส่งอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีสัญญาณ เธอจึงตัดสินใจเดินขึ้นที่สูง เพื่อหาสัญญาณ  (ในบทความต้นฉบับ ไม่ได้ระบุว่า AMC คืออะไรนะครับ แต่คาดว่าน่าจะเป็น Appalachian Trail Mountain Club)

การเดินเป็นไปอย่างยากลำบาก เธอเดินผ่านลำธาร ไปตามสันเขา 2-3 ลูก จนถึงตอนบ่ายของวันจันทร์ เธอก็เลือกกางเต็นท์ที่จุดที่สภาพไม่ดีนัก แต่นั่นก็เป็นจุดที่ดีที่สุดที่เธอหาได้ในวันนั้น

วันอังคารซึ่งเป็นวันที่เธอนัดพบกับจอร์จ ฝนเริ่มตกลงมาตั้งแต่ ตี 4 เธอส่งข้อความหาจอร์จอีกครั้ง “หลงทางตั้งแต่เมื่อวาน หลุดออกจากทางเดินราว 3-4 ไมล์ ติดต่อตำรวจด้วย “ … ยังคงไม่มีสัญญาณตอบกลับ

ในขณะเดียวกันจอร์จที่รอเกอรี่อยู่ที่จุดนัดพบ ที่ลานจอดรถก่อนเข้าเส้นทางเดิน ใกล้ Route 27 เขารอเกอรี่อยู่ตลอดทั้งวัน แต่เธอก็ไม่ปรากฏตัว ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเมื่อเช้าฝนตก เป็นไปได้ว่าเธอจะล่าช้าได้ คืนนั้นเขาก็นอนรอเธอบนรถ คอยหมั่นดูข้อความทางโทรศัพท์อยู่เสมอ… แต่จนเช้าเธอก็ยังไม่มา และไม่มีข้อความใดๆ มาทางโทรศัพท์

แผนที่เส้นทางเดินในช่วงรัฐ Maine ที่เกอรี่หายตัวไป

วันพุธ จอร์จเริ่มวิตกกังวลและติดต่อตำรวจ ตำรวจติดต่อหน่วยงานดูแลเทรลต่อ ในสภาพที่ฝนตก เป็นไปได้ว่านักเดินป่าจะล่าช้าได้ หรืออาจจะมาสายกว่าที่นัดกันไว้ 2-3 วัน แต่ถ้าเผื่อว่า เกอรี่ไม่ได้เดินช้าละ … เจ้าหน้าที่เริ่มวางแผนการทำงาน พวกเขาให้ข้อมูลหน่วยงานอาสาสมัครช่วยเหลือและค้นหา เพื่อทำการค้นหาตัวเกอรี่ โดยตีกรอบการค้นหาจากเพิงพัก Poplar Ridge ไปจนถึงจุดที่จอร์จจอดรถรออยู่ มีการเรียกตัวนักบินเพื่อค้นหาทางอากาศ ในขณะเดียวกัน หน่วยงานลาดตะเวนชายแดนก็ออกประกาศหานักเดินป่าที่หายตัวไป ข่าวคราวการหายตัวของเกอรี่เริ่มแพร่ออกไป ทั้งทางโซเชียลมีเดีย สำนักข่าวท้องถิ่นก็นำไปออกข่าว

ในวันเดียวกันในเวลาบ่าย ฝนหยุด แดดเริ่มออก เกอรี่เดินย้อนกลับมาที่ลำธารที่เธอเดินผ่านมาเมื่อวันก่อน เธอต้องการแหล่งน้ำสะอาด เธอย้ายเต็นท์ เลือกตำแหน่งที่มีกำบังด้านบนน้อยที่สุด เผื่อว่าถ้ามีการค้นหาทางอากาศจะมองเห็นเธอได้ เธอเลือกกางเต็นท์บนเนินเล็กๆ เพื่อกันน้ำไหลมาที่เต็นท์ เธอตัดผ้าห่มฉุกเฉินที่สะท้อนแสงได้ขึ้นไปแขวนไว้ด้านบนกิ่งไม้ เลือกบริเวณที่พอจะมีช่องให้แสงแดดลอดลงมาถึง เผื่อว่าแสงสะท้อนจะทำให้นักบินมองเห็นที่ตั้งแค้มป์ของเธอ

เกอรี่จำเป็นต้องบริหารจัดการอาหารของเธออย่างดีที่สุด เพราะเธอมีอาหารพอให้อยู่ได้แค่ … 3 วันเท่านั้น เย็นวันนั้น เธอกินแค่ผลอัลมอนด์ มันฝรั่งทอดและลูกพรุนไม่กี่ชิ้น หลังจากนั้นเธอก็สวดภานาต่อพระผู้เป็นเจ้า

O God come to my aid;
O Lord, make haste to help me.
Glory be to the Father, and to the Son, and to the Holy Spirit.
As it was in the beginning, is now, and ever shall be,
World without end. Amen.

เธอเฝ้าสวดภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้า

เจ้าหน้าที่ เควิน อดัม ผู้มีประสบการณ์กว่า 23 ปีในการเป็น Warden Service (คล้ายๆเจ้าหน้าที่ป่าไม้ แต่รวมถึงการประมง การค้นหาและช่วยเหลือในป่าด้วยครับ) กำลังมองหาชิ้นส่วนที่หายไป… ชิ้นส่วนที่จะช่วยให้ภาพรวมของจิ๊กซอสมบูรณ์ขึ้นมา ชิ้นส่วนที่จะบอกได้ว่า เกอรี่หายตัวไปอยู่ที่ไหนกันแน่

แต่กระนั้นการหาข้อมูลในเส้นทางเดินเทรลก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ด้วยสาเหตุว่าคนที่มาเดินเส้นทางเดินระยะไกลมีธรรมเนียมที่จะใช้ชื่อฉายาที่ตั้งเอง และชื่อฉายานี้ก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนกันระหว่างเดินทางได้อีก นี่ยังไม่นับว่า การเดินระยะไกลเป็นเวลาหลายเดือนแบบนี้ผู้เดินมีแนวโน้มสูงที่จะจดจำวันและระยะทางที่ถูกต้องไม่ได้

วันเสาร์ถัดมา หลังการค้นหาผ่านไป 4 วัน เจ้าของที่พักในพื้นที่ได้โทรติดต่อนักเดินป่าทุกคนที่ได้ลงทะเบียนไว้ ด็อทตี้ รัท ผู้ซึ่งเจอกับ Inchworm (ชื่อบนเทรลของ เกอรี่) ก่อนที่เธอจะหายตัวไป ก็ได้รับการติดต่อไปด้วย ด็อทตี้ ได้แจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับคืนที่เธอได้เจอกับเกอรี่ก่อนที่จะหายตัวไป พร้อมกับส่งรูปที่เธอถ่ายให้เกอรี่ไปให้เจ้าหน้าที่ดู … และนั่นเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่ยืนยันได้ว่า เกอรี่เดินมาถึง Poplar จริง ณ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ได้ข้อมูล สถานที่สุดท้ายที่มีผู้พบเห็นแล้ว คำถามคือ หลังจากออกจากที่นี่แล้ว เธอไปอยู่ที่ไหน ?

ภาพถ่ายที่ ด็อตตี้ รัท เป็นคนถ่ายเอาไว้ที่ Poplar Ridge ก่อนที่เกอรี่จะหายตัวไป เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการตีกรอบการค้นหาตัวเธอ

อดัม ตั้งศูนย์บัญชาการการค้นหาเคลื่อนที่ขึ้นที่ Sugarloaf สกีรีสอร์ท มีนักค้นหาที่ผ่านการฝึกอบรมมากกว่า 100 คน มาช่วยกันค้นหาร่องรอยของเกอรี่ บ้างก็เจอรอยเลือดติดอยู่บนหินใกล้ๆ กับเทรล บ้างก็เจอเส้นผม แต่ไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้เลยว่านั่นเป็นของเกอรี่ ในระหว่างนั้นก็มีผู้อ้างว่ามีพลังพิเศษติดต่อเข้ามาที่อดัม บางก็บอกว่าเกอรี่อยู่ในถ้ำ บ้างก็บอกว่าเธอโดนหมีจู่โจม บ้างก็บอกว่าเธอถูกลักพาตัวโดยตัวบิ๊กฟุต

เจ้าของที่พักในบริเวณใกล้เคียง ได้รับโทรศัพท์แจ้งจากนักเดินป่าว่า “ฉันพักค้างแรมที่เดียวกับ Inchworm ซึ่งหายตัวไป ที่เพิงพัก Spaulding

จอร์จ และลูกของเกอรี่ เดินทางมาถึงในวันถัดมาหลังจากที่ทราบข่าวการหายตัวไปของเกอรี่ ตามมาด้วยญาติและเพื่อนของครอบครัวลาเก้ จอร์จพยายามสอบถามนักเดินป่าทุกคนที่เค้าหาได้ ทั้งครอบครัวช่วยกันหาเบาะแส แต่ไม่มีอะไรเลยที่เชื่อมโยงไปถึงตัวเกอรี่ได้

ชิ้นส่วนของจิ๊กซอ ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่พบกับนักเดินป่าหนุ่ม 3 คน ที่บอกว่า พบเจอกับผู้หญิงมีอายุ สวมแว่นตา มีลักษณะคล้ายกับเกอรี่ที่เพิงพัก Spaulding ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปจากขอบเขตการค้นหาเดิมอีก ทำให้ทีมงานเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เกอรี่หายตัวไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องแบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปค้นหาในบริเวณนั้นด้วย

“พวกนายได้คุยกับเธอไหม ?” เจ้าหน้าที่ถามนักเดินป่าหนุ่มทั้ง 3 … “ไม่ครับ เธอค่อนข้างเงียบ” เด็กหนุ่มกล่าว

หากข้อมูลสามารถตามหลอกหลอนคนไปตลอดชีวิตได้ อดัมคงโดนข้อมูลนี้หลอกหลอนอย่างแน่นอน เพราะในใจเขารู้ดีว่า เกอรี่ เป็นคนที่ชอบพูดคุย … “ผมคิดว่าน่าจะไม่ใช่เธอ … แต่บางทีเธออาจผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาจนไม่อยากคุยกับใคร” ผมพยายามที่จะดันจิ๊กซอนี้ให้เข้าช่องพอดี

ประกาศให้นักเดินป่า ที่พบเห็นสิ่งของที่ต้องสังสัยว่าจะมีความเชื่อมโยงกับตัวเกอรี่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่

อดัมเรียกประชุมทีมค้นหา เขาชี้ไปที่แผ่นที่ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นตาราง ถ้าหากคนที่มีการแจ้งมาทางโทรศัพท์ กับคนที่พวกเด็กหนุ่มเจอคือเกอรี่จริงๆ เธอต้องอยู่แถวๆ Sugarloaf เจ้าหน้าที่อดัมขอความเห็นกับทีมงาน เขาไม่อยากจะใช้ความเห็นของคนๆเดียวตัดสินการกระจายกำลังค้นหา … และเจ้าหน้าที่ทุกคนก็เห็นด้วยว่าเธอต้องอยู่แถว Sugarloaf

กลุ่มค้นหาที่เล็กลง ยังคงค้นหาอยู่ที่แถว Poplar ซึ่งเป็นสถานที่สุดท้ายที่มีคนพบเกอรี่ ทีมเจ้าหน้าที่เริ่มเบนเป้าไปหาในบริเวณทางเหนือขึ้นไปอีก 10 ไมล์ บริเวณแถว Mount Abraham กับ Spaulding อดัมยังคงมองโลกในแง่ดี และมั่นใจว่าจะหาตัวเกอรี่เจอ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความมั่นใจของเขาก็ลดลงเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะค้นหามากแค่ไหน ก็ไม่มีร่องรอยของเกอรี่เลย อย่าว่าแต่หลักฐานว่าเกอรี่ยังมีชีวิตอยู่เลย แม้แต่หลักฐานว่าเกอรี่เข้ามาถึงที่นี่จริงก็ไม่มี

เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครช่วยกันตามหาตัวเกอรี่

เกอรี่มีอาหารพอสำหรับ 2-3 วัน เธอมีเต็นท์ พวกเรารู้ว่าเธอมีชุดจุดไฟติดตัว เจ้าหน้าที่อดัมกล่าว เพราะฉะนั้นเราจะค้นหาทางเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบิน เรามีหน่วยงานป่าไม้ เราเป่านกหวีดส่งสัญญาณ เราใช้รถ ATV ช่วยในการค้นหา

อดัมระดมเจ้าหน้าที่เพิ่ม ทั้งเจ้าหน้าที่นอกราชการ และของบล่วงเวลาเพิ่ม มีทีมสุนัข K9 ช่วยค้นหา แต่ว่าพุ่มไม้หนาเสียจนบางทีเจ้าหน้าที่ต้องอุ้มสุนัข K9 เดินแทน เจ้าหน้าที่บางคนขี่ม้าค้นหา ทีมค้นหาถูกระดมจากทั้งรัฐมาช่วยในการค้นหา เครื่องบินก็บินค้นหาทาอากาศ … แต่เราก็ยังไม่ได้อะไรเพิ่ม เราไม่เห็นสัญญาณควันไฟเลย

เกอรี่ได้ยินเสียงเครื่องบิน เธอกวัดแกว่งเสื้อฟรีซสีแดง เธอเฝ้าภาวนาให้นักบินเห็นเธอ

จนวันที่ 28 กรกฏาคม หรือ 6 วันหลังจากที่เธอหลงออกนอกทางเดิน อาหารชุดสุดท้ายของเธอก็หมดลง ในวันถัดมา เธอได้ยินเสียงเครื่องบินนานราว 1 ชั่วโมง แต่เสียงฟังดูห่างออกไป จนเธอมีความคิดจะย้ายจุดกางเต็นท์ แต่หลังจากพิจาณาแล้ว เธอก็ล้มเลิกความคิดไป

ในบันทึกของเกอรี่ เธอบรรยายว่าในช่วงเวลาที่เธอรอความช่วยเหลืออยู่นั้น เธอฝึกเดินไปมาระหว่างจุดตามเข็มทิศของเธอ เธออ่านนิยายที่เธอพกติดมาด้วย ซ้ำไปมา เธอเอาไหมขัดฟันมาใช้ฝึกเย็บแบบ French Knots

ในเช้าวันที่ 30 กรกฏาคม เธอได้ยินเสียงเครื่องบินค้นหาอีกครั้ง และเสียงเฮลิคอปเตอร์อีกในตอนบ่าย เธอพยายามโบกเสื้อให้เห็นชัดที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ แต่ไม่มีใครเห็นเธอ

เกอรี่สัมผัสได้ว่าจอร์จยังคิดถึงเธออยู่ ตราบเท่าที่เขายังคงค้นหาเธออยู่ เธอจะพยายามยื้อให้อยู่ได้นานที่สุดเท่าที่เธอทำได้

จนวันที่ 1 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ทำการค้นหาทางเครื่องบิน แถว Sugarloaf ร่วมกับการค้นหาทางภาคพื้นดินครั้งใหญ่ ทั้งเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเท่าที่เควินจะหาได้ พวกเค้าเป่านกหวีด ร้องตะโกนเรียกชื่อ เกอรี่ แต่ก็หาไม่พบ … พวกเขาไม่เจออะไรเลย

ในระยะเวลา 12 วันที่ทำการค้นหา พวกเค้ามีหลักฐานทางวัตถุที่เชื่อถือได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือ ภาพถ่ายที่ ด็อทตี้ รัท ถ่ายในวันที่ เกอรี่หายตัวไป

วันที่ 6 สิงหาคม อดัมเก็บศูนย์ค้นหาเคลื่อนที่ และขับรถกลับไปที่สำนักงานหลักที่ Greenville การสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้บินค้นหารอบบริเวณอีก … จนกว่าจะเดือน พ.ย.ซึ่งเป็นช่วงหลังใบไม้ร่วงไปแล้ว

ในวันเดียวกันกับที่อดัมปิดศูนยืค้นหา … เกอรี่เปิดโทรศัทพ์ขึ้นมา และพยายามจะส่งข้อความอีกครั้ง … ยังคงไม่มีสัญญาณ … เธอหายไป 2 อาทิตย์และไม่มีอาหารมาตลอด 9 วันที่ผ่านมา เธอพยายามจุดไฟใกล้ๆกับต้นไม้ 2 ต้น เพือส่งสัญญาณควันไฟ เธอจุดไฟนาน 2 ชั่วโมงเมื่อวาน และวันนี้ก็เช่นกัน … แต่ก็ไม่มีใครมา … สุดท้ายเธอก็ดับไฟ

เกอรี่หยิบสมุดบันทึกขึ้นมา เธอค่อยๆ ฉีกกระดาษออกมาจากสมุดบันทึก แล้วเธอก็เริ่มเขียนข้อความลงไปบนกระดาษแผ่นนั้น

“ หากว่าคุณได้พบร่างของฉัน กรุณาแจ้งจอร์จ … สามีของฉัน และ เคอรี่ ลูกสาวขอฉันด้วย มันจะเป็นความกรุณาอย่างล้นเหลือต่อพวกเขาที่จะได้รู้ว่า ฉันได้เสียชีวิตแล้ว ณ ที่นี่ ที่คุณพบฉัน … และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกกี่ปีนับจากนี้ ขอความกรุณาส่งสิ่งของในถุงนี้ให้กับพวกเขาด้วย “

วันรุ่งขึ้น เกอรี่เดินมาที่ลำธาร และซักเสื้อสีชมพูตัวโปรดของเธอ มันเป็นของขวัญจากจอร์จสามีของเธอ ตอนที่พวกเขาไปที่ Gettysburg เธอสวมใส่เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อนอน มันทำให้เธอคิดถึงเขามาก

วันที่ 8 สิงหาคม อดัมตามเจอพยานอีกคนหนึ่ง ซึ่งพลิกข้อมูลการค้นหาครั้งใหญ่ พยานเป็นนักเดินป่าที่ใช้ชื่อบนเทรลว่า ivanich เธอพักที่ Poplar Ridge ในคืนเดียวกับเกอรี่ และออกเดินตามหลังเกอรี่ออกมาในวันเดียวกัน และเพราะเธอเป็นคนเดินเร็ว เธอควรจะตามทันเกอรี่ก่อนเที่ยงของวันนั้น แต่เธอก็ไม่เจอกับเกอรี่ … นั่นก็เลยเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ช่วยยืนยันว่าเกอรี่ไม่ได้ไปถึง Spaulding อย่างที่อดัมได้รับข้อมูลมา

นั่นแสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่ได้มาก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้องครับ คนให้ข้อมูลทางโทรศัพท์และเด็กหนุ่มทั้งสามคน คงจะจำผิดระหว่าง ตัว ivanich เองกับ inchworm เพราะทั้งคู่ผมบลอนด์ และใส่แว่นตาเหมือนกัน

16 วันหลังจากที่เกอรี่ถูกพบเห็นครั้งสุดท้าย ทีมค้นหาพุ่งเป้าการค้นหากลับมาที่เส้นทางหลังจาก Poplar Ridge อีกครั้ง พวกเขายังคงร้องตะโกนเรียกหาเกอรี่ พวกเขายังคง สอบถามข้อมูลจากพยานที่น่าเชื่อถือต่อไป

วันเวลาผ่านไป โดยยังไม่มีใครพบเกอรี่

จาก 16 วัน กลายเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จาก1 ปี เป็น 2 ปี ในระหว่างนั้น. มีทั้งการแจ้งเข้ามาว่ามีคนเห็นคนหน้าตาคล้ายกับเกอรี่กำลังเสิร์ฟไอศครีมอยู่ใน new Hampshire และก็มีคนเห็นเธอไปนั่งทำเล็บอยู่ใน Minneapolis ซึ่งแน่นอนว่า นั่นไม่ใช่เกอรี่ครับ

วันที่ 14 ตุลาคม 2015 เป็นเวลา 2 ปีหลังจากการหายตัวไปของเกอรี่ พนักงานป่าไม้จากบริษัทเอกชนได้เข้าไปจัดเก็บไม้ ในพื้นที่ของโรงเรียนสอนการเอาชีวิตรอด ของกองทัพเรือ ในเมืองเล็กๆที่ชื่อว่า Redington โดยเขาเริ่มนับไม้จากจุดที่ถูกสุ่มขึ้นมาโดยคอมพิวเตอร์ เขาเดินเป็นเส้นตรง หยุดนับไม้เป็นระยะๆ และ ในการหยุดนับครั้งที่ 3 บนเนินเล็กๆ ลึกเข้าไปราว 100 หลา ในพื้นที่ของกองทัพเรือนั้น เขาก็พบกับเต็นท์เก่าหลังหนึ่งที่พังลงมา พร้อมกับเป้แบ็คแพ็คสีเขียว และเขาก็พบกับศพมนุษย์ที่ถูกห่อด้วยถุงนอนสีฟ้า

พนักงานป่าไม้รีบติดต่อไปที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งสำนักงานใหญ่ก็ติดต่อไปที่กองทัพเรืออีกที

ในวันถัดมา เจ้าหน้าที่อดัม ได้รับแจ้งการค้นพบนี้ หลังจากที่เขาได้เห็นรูปถ่ายของเต็นท์และถุงนอนที่พนักงานป่าไม้ถ่ายไว้ สิ่งที่ค้างคาใจเขามานาน 2 ปี ก็ดูเหมือนจะได้รับคำตอบแล้ว

แผนที่แสดงตำแหน่งที่พบเต็นท์ของเกอรี่

เจอรัลดีน เกอรี่ ลาเก้ วัย 66 ปี เธอหายตัวไปบนเส้นทางเดิน Appalachian Trail ตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2013 นับเป็นเวลากว่า 26 เดือน ที่เธอหายตัวไป

ในตอนสายของวันนั้น อดัม และพนักงานป่าไม้ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อีกหลายคน รวมถึงทีมถ่ายทำรายการ North Woods Law รายการเรียลลิตี้โชว์ทางทีวีที่ติดตามทำการทำงานของเจ้าหน้าที่ Warden Service ก็มารวมตัวกันที่ถนนลูกรังด้านในพื้นที่ของกองทัพเรือ

พวกเค้าเริ่มเดิน ไม่มีใครพูดอะไรมาก เมื่อพวกเขามาถึงเนินดังกล่าวในเวลา 2 ชั่วโมงถัดมา พวกเขาก็พบกับร่างของเกอรี่ ในถุงนอน พร้อมด้วยใบขับขี่ที่ถูกวางอย่างปราณีตอยุ่ในถุงซิปล็อคกันน้ำ สภาพทั่วไปบ่งบอกว่าเธอพยายามอย่างมากในการรักษาชีวิตให้รอดและรอการช่วยเหลือ

สภาพเต็นท์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไปพบเข้า ภายในมีร่างของเกอรี่อยู่ในถุงนอน

“เราทุกคนอยากเห็นเธอได้กลับบ้าน” เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง กล่าวกับทีมงานถ่ายทำรายการ ด้วยเสียงที่สั่นเคลือ

พวกเขานำร่างของเธอออกมาในวันนั้น และติดต่อไปที่ครอบครัวลาเก้ และ มันเป็นวันเกิดปีที่ 72 ของจอร์จพอดี

เจ้าหน้าที่แจ้งกับครอบครัวลาเก้ ว่า ร่างของเกอรี่ถูกถูกพบอยู่ห่างจากถนน railroad ซึ่งตัดกับเส้นทางเดิน Appalachian เพียงแค่ 2300 ฟุต เท่านั้น ลูกสาวของเกอรี่พบว่ามันยากที่จะยอมรับได้ เพราะแม่ของเธออยู่ใกล้กับความช่วยเหลือมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครหาเธอเจอ

จากบันทึกของเกอรี่ เธอเขียนบันทึกทุกวันจนกระทั่งถึงวันที่ 10 สค. 2013 ในสมุดบันทึก วันที่เธอลงไว้วันที่สุดท้ายคือวันที่ 18 ซึ่งทำให้คาดว่าเธอรอดชีวิตอยู่ในป่าได้ถึงหนึ่งเดือน แต่ระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนั้น ทั้งเจ้าหน้าที่อดัมและครอบครัวลาเก้ต่างก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการลงวันที่ไม่ถูกต้อง

เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ สังเกตุถุงซิปล็อคในมือเจ้าหน้าที่นะครับ ถุงนั่นเป็นถุงที่ใส่สมุดบันทึก และข้อความสุดท้ายของเกอรี่

โดยสรุปแล้ว เจอรัลดีน เกอรี่ ลาเก้ รอดชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยถึง 19 วัน

สิ่งหนึ่งที่ครอบครัวลาเก้เฝ้าภาวนาก็คือ ปาฏิหาริย์ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ และถ้าหากเธอต้องเสียชีวิต พวกเขาก็ขอให้เป็นการตายที่ฉับพลัน ไม่ทุกข์ทรมาน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว … มันตรงข้ามกันเลย จอร์จให้สัมภาษณ์ว่า “ผมรู้ว่าเธอแกร่ง แต่ผมไม่รู้มาก่อนว่าเธอแกร่งขนาดนี้”

หลังจากที่อดัมติดต่อไป 10 วัน ครอบครัวลาเก้ก็มารับศพเธอกลับ พวกเขาเดินอย่างยากลำบาก เข้าไปจนถึงแค้มป์ที่เธอเสียชีวิต

แม้แต่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เกอรี่ ลาเก้ กังวลว่าจะไปทำให้ครอบครัวลำบากในภายหลัง ที่จุดกางเต็นท์ของเธอ เธอทำลายบัตรเครดิต และฝังดินไว้เพื่อไม่ให้ใครเอาไปใช้ได้ เธอเก็บใบขับขี่ไว้ เพื่อให้สามารถระบุตัวตนเธอได้ เธอเก็บหม้อกระทะไว้อย่างเป็นระเบียบ เก็บบันทึกใส่ถุงพลาสติคซีลกันน้ำ พร้อมกับข้อความสั่งเสีย

เธอพับเก็บแว่นตาและวางไว้ในช่องเก็บของภายในเต้นท์ ก่อนที่เธอจะมุดตัวเข้าไปอยู่ในถุงนอน…เป็นครั้งสุดท้าย

ไม้กางเขน ที่เขียนไว้ด้วยข้อความไว้อาลัยจากครอบครัวและมิตรสหายของเกอรี่ ได้ถูกนำมาวางไว้ ในจุดที่เธอเสียชีวิต

ในบันทึกของเกอรี่ เธอกล่าวขอโทษครอบครัว เธอกล่าวว่า

“ไม่มีการเดินเทรลใด ที่มีค่าสำคัญเหนือกว่าครอบครัว”

เธอเขียนจดหมายใจความยาวถึงพวกเขาแต่ละคน กล่าวถึงช่วงเวลาที่พวกเขาได้ใช้ด้วยกัน และให้กำลังใจเพื่อให้พวกเขาก้าวต่อไปได้

มันไม่ใช่จดหมายรัก แต่มันเป็นเป็นจดหมายชีวิต จอร์จกล่าว

ข้อความสุดท้ายในบันทึก เกอรี่เขียนไว้ว่า

“ด้วยความรักแด่คุณ รวมถึงมิตรสหายทุกท่าน ฉันภาวนาว่าจะได้พบพวกคุณอีกครั้งบนสรวงสวรรค์”

เครดิต เรื่องจาก Boston Globe

บทส่งท้าย

กรณีของเจอรัลดีน ลาเก้ นี้เป็นเหตุการที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ปี 2013 แต่ตัวผู้เขียนเองเพิ่งได้มีโอกาสอ่านเมื่อไม่นานมานี้ โดยได้อ่านบทความที่ลงใน ฺBoston Globe เขียนโดย  เมือวันที่ 24 สิงหาคม ตอนที่ผู้เขียนได้อ่านบทความเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกเศร้าใจกับเหตุการณ์นี้มาก ในใจผู้เขียนเต็มไปด้วยคำถาม … ว่าเพราะอะไร ?

ในหลักการเดินป่านั้น วิธีการที่สั่งสอนกันมา ในกรณีที่หลงทางคือ หลักการที่เรียกว่า Stop ซึ่งจะประกอบด้วย ตัว S (Stop) , T (Think) , O (Observe) และ P (Plan)  ใครอยากอ่านเต็มๆ ลองอ่านบทความที่ผมเคยเขียนไว้ ที่นี่ ครับ หลักการนี้สั้นๆ ก็คือ ถ้ารู้ตัวว่าหลงทาง ให้ หยุด คิด สังเกตุสภาพรอบตัว และวางแผนการ โดยกรณีที่จำทางไม่ได้ สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี ไม่รู้จะไปทิศทางไหน ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือ หยุด แล้วรอความช่วยเหลือแบบเดียวกับที่เกอรี่ทำ

ถ้าสังเกตุดู สิ่งที่เกอรี่ทำ ก็ตรงกับหลักการนี้ เธอหยุด เธอหาสัญญาณโทรศัพท์  เธอพยายามขึ้นที่สูงเพื่อหาตำแหน่งตัวเอง เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อได้ เธอก็เลือกที่จะหยุด ดีกว่าที่จะเดินไปอย่างไม่รู้ทิศทาง … เพียงแต่ว่าเธอ โชคร้ายครับ ที่ไม่มีใครหาเธอเจอ จะด้วยความรกของป่า ความกว้างใหญ่ของพื้นที่ กิ่งไม้ที่ปกคลุมหนาทึบจนเครื่องบินมองไม่เห็น หรือจะด้วยข้อมูลตำแหน่งผิดพลาดที่ทีมค้นหาได้มา ทำให้การค้นหาถูกกระจายกำลังออกไปจากจุดที่เธออยู่  … จนสุดท้าย ไม่มีใครหาเธอเจอ จนกระทั่งเธอเสียชีวิตไป

สุดท้ายนี้ ผมก็อยากจะให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้แก่นักเดินป่า ทุกท่าน ไม่ว่าจะไฮกิ้ง หรือเทร็คกิ้ง ในป่าทึบ ภูเขาหิมะ หรือทะเลทราย ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก่า การเดินป่า ไฮกิ้ง เทร็คกิ้ง เป็นกิจกรรมที่ดี มีประโยชน์ต่อทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ แต่ก็เป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงอยู่บ้าง ผู้เดินก็ควรจะมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่อง การเดินป่าและแค้มปิ้งในระดับหนึ่ง เช่น หลักการปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ในสถานการณ์ต่างๆ ความรู้เรื่องการใช้อุปกรณ์ การจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับเหตุฉุกเฉิน เป็นต้น ถ้าไม่รู้จะไปหาอ่านที่ไหน ในเพจ อุปกรณ์เดินป่า Pete & Paul ของผมเองก็มีเขียนเรื่องพวกนี้ไว้อยู่พอสมควร ก็ลองเข้าไปติดตามกันได้ครับ

แล้วพบกันใหม่คราวหน้า ขอบคุณที่ติดการอ่านจนจบ

พีท